The project Crying Sky was derived from his interest in ‘mysterious echoes’ in many areas around the world without any definite explanation of how and where they originated. These phenomena are relatable to local beliefs in various areas based on accounts of these sounds from the sky. The sounds are signs, communication and clashes among the nature, as well as the supernature. On the other hand, these sounds sent down from the sky and perceived by humans are warnings for changes, incidents that are about to take place or the near future beyond our control.
As the sky has been defined as a representative of things including nature, gods, kings, ancestors, ghosts, calm, chaos and many others, these contextual meanings reveal dimensions and relations between the sky and humans. Besides, the sky is often referred to as the observer who reflects on world occurrences. For example, sadness flows through the air amidst thick clouds; a chaos resembles a storm turning the sky red; a new hope is like rays of golden light behind grey clouds after the rain. These sky occurrences reflect parallel stories of daily world events usually in their vertical relationship. However, the other side of this relationship has not been thoroughly explored and humans continue to yield to the sky.
The work Crying Sky, 2022 is a collaboration between the artist and the sky and between human and nature. It aims to present horizontal relationship and to question the definition of the roles of the sky in terms of local belief, myth, account, culture, literature and scientific data. Crying Sky is a video installation comprising interviews, fabricated stories, odds and ends from tales, kite flying, sounds of Sanu (bow-shaped noise-maker attached to the top of kites), cultures, traditions, religious beliefs, local beliefs, ethnic stories, politics, power negotiation and social contexts in order to complete the definition of the sky and to raise the volume of human negotiation to the level where we can talk to the sky.
Crying Sky เป็นโปรเจกต์ที่เริ่มมาจากความสนใจของการเกิด ‘เสียงสะท้อนปริศนา’ ขึ้นบน ท้องฟ้า ซึ่งพบได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ทั้งยังไม่มีคำอธิบายแน่ชัดว่ามีต้นกำเนิดมาจากไหนหรือเกิดขึ้น ได้อย่างไร ปรากฏการณ์เหล่านี้สามารถเชื่อมโยงไปถึงความเชื่อท้องถิ่นหลากหลายพื้นที่ ตามคำบอก เล่าที่มาพร้อมกับเสียงจากฟากฟ้า เสียงที่เกิดขึ้นเหล่านี้ต่างเป็นสัญญาณ เป็นการสื่อสาร เป็นการปะทะ กันระหว่างธรรมชาติและยังรวมไปถึงสิ่งเหนือธรรมชาติอีกด้วย ในอีกฟากหนึ่งเสียงจากท้องฟ้าที่ส่งลง มาสู่การรับรู้ของมนุษย์นั้นเป็นดั่งคำเตือนถึงการเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด หรือสิ่งที่กำลัง มาถึงซึ่งอยู่เหนือความควบคุมของเรา
ในขณะที่ท้องฟ้าถูกนิยามเป็นภาพแทนของสิ่งต่าง ๆ เช่น ธรรมชาติ เทพเจ้า เทวดา กษัตริย์ บรรพบุรุษ ผี ความสงบ โกลาหล และอีกมากมาย ความหมายในบริบทต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เห็นถึงมิติ และความสัมพันธ์ระหว่างท้องฟ้าและมนุษย์ นอกจากนี้ ท้องฟ้ามักจะถูกพูดถึงในฐานะผู้เฝ้า สังเกตการณ์ และทำหน้าที่สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลก ทั้งความเศร้าโศกที่ลอยละล่องอยู่ผ่านเมฆครึ้ม ในอากาศ ความโกลาหลวุ่นวายดั่งพายุที่ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง หรือความหวังครั้งใหม่หลัง ฝนปรายสาดแสงทองอร่ามปรากฎขึ้นหลังเมฆหมอกสีคราม ความเป็นไปของท้องฟ้าที่กล่าวมานี้ล้วน เป็นสิ่งสะท้อนเรื่องราวคู่ขนานที่ดำเนินไปในแต่ละวันของโลก และมักจะเป็นลักษณะความสัมพันธ์ใน แนวดิ่ง หากแต่ยังมีอีกฝากหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ยังไม่เคยถูกสำรวจอย่างถี่ถ้วน ทำให้มนุษย์จำเป็น ต้องสยบยอมต่อท้องฟ้าเสมอไป
ผลงาน Crying Sky, 2022 เป็นโครงการที่ศิลปินทำงานร่วมกันกับท้องฟ้า ระหว่างมนุษย์-ธรรมชาติ ทั้งยังต้องการนำเสนอความสัมพันธ์ในแนวระนาบ ตั้งคำถามกับการนิยามบทบาทของท้องฟ้าในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งความ เชื่อท้องถิ่น นิทานปรัมปรา คำบอกเล่า ศาสนา วัฒนธรรม วรรณกรรม และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ Crying Sky เป็นผลงานศิลปะวิดีโอจัดวาง ที่กอปรกันด้วยบทสัมภาษณ์ เรื่องราวที่ถูกแต่งเติม สิ่งละอันพันละน้อยจากนิทาน การเล่นว่าว เสียงสนู วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อทางศาสนา ความเชื่อท้องถิ่น เรื่องราวทางชาติพันธุ์ การเมือง การต่อรองเชิงอำนาจ บริบททางสังคม เพื่อให้นิยามของท้องฟ้าครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น และ เพื่อให้การต่อรองของมนุษย์มีเสียงดังมากพอที่จะพูดคุยกับท้องฟ้าได้"